เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ยืมเงินไม่คืน เอารถมาค้ำประกัน แต่กลับไปฟ้องเจ้าหนี้ว่ายักยอกทรัพย์ รถของกลางเอาไปจอดไว้ที่โรงพัก ยังมาขับออกไปต่อหน้าตำรวจ
นางสาวเอ (นามสมมติ) อายุ 43 ปี ชาวอำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชน หลังถูกนางสาวบี (นามสมมติ) เพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานานหลายปี ยืมเงินจำนวน 170,000 บาท อ้างว่าจะนำไปปิดไฟแนนซ์รถยนต์ พร้อมสัญญาจะคืนภายในหนึ่งเดือน แต่เมื่อถึงกำหนดกลับไม่ชำระหนี้ และมีการบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด
นางสาวเอจึงตกลงให้ทำสัญญากู้ยืมเงิน โดยมีรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่น HR-V เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันจนกว่าจะชำระหนี้หมด กระทั่งนางสาวบีทำหนังสือขอคืนรถ และแจ้งความดำเนินคดีในข้อหายักยอกทรัพย์ ซึ่งเคยมีการนำเสนอข่าวไปแล้วก่อนหน้านี้
ล่าสุด เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 21 เมษายน 2568 ที่สถานีตำรวจภูธรอุทุมพรพิสัย นางสาวเอพาผู้สื่อข่าวไปตรวจสอบจุดที่เคยนำรถยนต์คันดังกล่าวมาจอดไว้ขณะให้การกับพนักงานสอบสวน แต่กลับพบว่า นางสาวบีได้พาผู้หญิงอีกคนที่อ้างว่าเป็นภรรยาของตำรวจในโรงพัก มาใช้กุญแจสำรองขับรถออกไปต่อหน้าต่อตาเจ้าหน้าที่จำนวนมาก โดยไม่มีใครขัดขวางหรือดำเนินการใดๆ
กล้องวงจรปิดที่หน้าสถานีตำรวจบันทึกภาพไว้ได้ชัดเจน ขณะที่นางสาวบีมากับหญิงอีกคน และใช้กุญแจสำรองขับรถออกไป ขณะเดียวกัน นางสาวเอกำลังอยู่ระหว่างการให้ข้อมูลกับตำรวจ ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่
นางสาวเอ เล่าว่า หลังมีการร้องเรียนผ่านสื่อ เจ้าหน้าที่ได้เรียกนางสาวบีมาเจรจาไกล่เกลี่ย โดยตกลงว่าจะชำระเงินคืนภายในวันที่ 31 มีนาคม แต่เมื่อถึงวันนัด นางสาวบีกลับไม่มาตามสัญญา และโทรศัพท์แจ้งกับตำรวจว่า หากอยากได้เงินคืนให้ไปฟ้องเอาเอง หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏตัวอีก ทั้งตำรวจเองก็ไม่มีความคืบหน้าในการติดตามทั้งตัวนางสาวบีและรถยนต์
นางสาวเอกล่าวว่า ตนรู้สึกแปลกใจอย่างมาก เพราะรถจอดอยู่ในโรงพักแท้ๆ แต่กลับปล่อยให้นำออกไปได้ โดยไม่มีการคัดค้านหรือป้องกัน ทั้งที่รถคันนี้ถือเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันหนี้ที่ยังไม่ถูกชำระ อีกทั้งจนถึงขณะนี้ ตำรวจยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ในการติดตามรถคืน หรือเรียกลูกหนี้มาเจรจาเพิ่มเติม ทำให้ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือกลับต้องเดือดร้อน
พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ คำเครื่อง รองผู้กำกับการ (สอบสวน) สภ.อุทุมพรพิสัย เปิดเผยว่า คดีนี้เป็นกรณีของการกู้ยืมเงินระหว่างเพื่อน ซึ่งมีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร และต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิของตนเอง ตำรวจจึงเชิญทั้งสองฝ่ายมาเจรจา และเสนอให้นางสาวบี เอารถไปประเมินราคาไฟแนนซ์เพื่อนำเงินมาใช้คืนให้เจ้าหนี้ แต่ยังไม่มีข้อยุติ
สำหรับกรณีที่นางสาวบีใช้กุญแจสำรองขับรถออกจากโรงพัก รอง ผกก.สอบสวนชี้แจงว่า ตามกฎหมาย นางสาวบียังถือเป็นเจ้าของทรัพย์สิน เพราะยังไม่มีการฟ้องร้องหรือคำสั่งศาลใดๆ การนำรถออกไปจึงยังไม่ถือว่าลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันจะอำนวยความยุติธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย และดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
นางสาวเอย้ำว่า เธอไม่ได้ต้องการให้เรื่องบานปลาย เพียงแค่ต้องการให้ลูกหนี้แสดงความรับผิดชอบ และอยากให้ตำรวจเร่งรัดติดตามมาเจรจาไกล่เกลี่ยให้เรื่องยุติโดยเร็ว